ผู้บริโภค' ยุคปัจจุบันและยุคอนาคตมีพฤติกรรมซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ แถมยังบริโภคสื่อหลากหลายสื่อในเวลาเดียวกัน และยังทำอะไรได้หลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน
พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการวางแผนกลยุทธ์และสร้างความหนักใจให้กับนักการตลาด นักโฆษณา เจ้าของสินค้า ที่จะต้องทำการบ้านมากขึ้น เพื่อให้การวางแผนการใช้สื่อและใช้เครื่องมือสื่อสารการตลาดที่เข้าถึง ตรงเป้าหมาย และเกิดการสูญเสียที่น้อยที่สุด
การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้มีสื่อใหม่ หรือนิวมีเดีย
(new madia) ซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เพราะพื้นที่ของนิวมีเดียทำให้สินค้าและบริการสามารถใกล้ชิดกับผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นช่องทางการสื่อสารที่ทรงพลังในการสื่อสารกับ กลุ่มเป้าหมายอีกด้วย
ขณะที่สื่อเดิม
(old media) ก็ยังเป็นสื่อที่มีประโยชน์และสร้างโอกาสทางการตลาดอยู่เช่นเดิม โดยจะเห็นว่าผู้บริโภค บางกลุ่มยังนิยมบริโภคสื่อเดิมๆ อยู่เช่นกัน
'ซินโนเวต' บริษัทวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคได้ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคอายุ ตั้งแต่ 8 ปีขึ้นไป ใน 11 ประเทศในเอเชีย พบว่าผู้บริโภคยุคนี้รับสื่อเฉลี่ยวันละ 38 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าอาจดูทีวี 2 ชั่วโมง และในช่วง 2 ชั่วโมงที่ดูทีวีนั้นยังใช้อินเทอร์เน็ต 1 ชั่วโมง อ่านหนังสื่อพิมพ์ครึ่งชั่วโมง ขณะเดียวกันยังฟังวิทยุไปด้วย เป็นต้น
จากการวิจัยยังพบว่า ในฮ่องกง, สิงคโปร์, มาเลเซีย และไทย นั้น 'ทีวี' ยังเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพล มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงสูงที่สุด แต่คนดูทีวีทั้ง 4 ประเทศนี้มีพฤติกรรมที่เหมือนกัน คือ รับสื่อและทำกิจกรรมหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
นอกจากสื่อทีวีที่มีบทบาทสำคัญแล้ว สื่อที่มาแรงและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน คือ อินเทอร์เน็ต โดยจะสังเกตเห็นว่านักการตลาดในปัจจุบันมัก นิยมใช้สื่อที่ผสมผสานระหว่างสื่อทีวีและ อินเทอร์เน็ตในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นขณะที่ 'อินนิทิเอทีฟ' บริษัท
วางแผนและซื้อสื่อโฆษณารายใหญ่ ชี้ให้เห็นเทรนด์ของการใช้สื่อว่า แน่นอน 'ทีวี' ยังถือเป็นสื่อหลักที่ทรงอิทธิพล
และสื่อที่มาแรงในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยี เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตประจำวันมีค่อนข้างหลากหลาย คือ อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตของคนในยุคนี้ไปแล้ว
ปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในเมืองไทยสูงถึง 15.0 ล้านคน คิดเป็น 23% ของประชากร และมีจำนวนผู้ใช้ msn สูงถึง 4.25 ล้านยูสเซอร์/วัน มากเป็นอันดับ 9 ของโลก หากนับจำนวนข้อความที่ส่งถึงกันมีปริมาณมากถึง 120 ล้านข้อความ/วัน
ว่ากันว่า นอกจาก 'สื่อดิจิทัล' จะเข้ามาช่วยเติมเต็มสีสันให้กับชีวิตของผู้บริโภค ยุคใหม่แล้ว พลังของสื่อก็เป็นสิ่งที่นักการตลาดไม่ควรมองข้าม จากการทำสำรวจเกี่ยวกับ 'สื่อที่น่าเชื่อถือที่สุด' ในความเห็นของผู้บริโภคนั้น 81% บอกว่าเป็นการบอกต่อ หรือ word of mouth ซึ่งสื่อที่ทำให้เกิดการบอกต่อหลักๆ ประกอบด้วย เว็บไซต์, เว็บบอร์ด และอีเมล์
นอกจากนี้ ยังมีเคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียม ซึ่งขยับตัวแรงมากในปี 2551 เนื่องจากกฎหมายปลดล็อกให้เคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียมมีโฆษณาได้ ส่งผลให้มีผู้ผลิตคอนเทนต์หันมากระโจนเข้าใส่ธุรกิจเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมมากขึ้น ปัจจุบันมีผู้ให้บริการแล้วประมาณ 40 ช่อง และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 ช่องในปีหน้า
เคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมมีจุดเด่นในเรื่องเซ็กเมนเตชั่นที่ชัดเจนกว่าฟรีทีวี ขณะที่อัตราค่าโฆษณาถูกกว่ากันมากชนิดใกล้เคียงกับโฆษณาสื่อวิทยุ และชนิดหายใจ รดต้นคอ
เรียกว่า หากใช้กลยุทธ์ถูกที่ ถูกเวลา ย่อมประหยัดและคุ้มค่ากว่าการใช้ฟรีทีวี
เช่นเดียวกับ 'สเตฟานี เบลล์' ประธานกรรมการบริหาร 'มายด์แชร์' ภูมิภาคอินโดจีนและฟิลิปปินส์ ชี้เทรนด์ของการใช้สื่อในปีหน้าว่า สื่อทีวีจะยังคงเป็นสื่อหลัก และเป็นสื่อที่จำเป็นในการทำการตลาดโดยเฉพาะรายการทีวีในช่วงไพรมไทม์และรายการที่อยู่ในช่วงรอยต่อระหว่างไพรมไทม์และน็อนไพรมไทม์
สื่อใหม่ก็น่าจะเป็นอีกแขนงหนึ่งที่มีโอกาสในการขยายตัวได้สูง โดยเฉพาะ 'ดิจิทัลมีเดีย' และ 'โมบายมีเดีย' เนื่องจากเป็นสื่อใหม่ที่มีระบบการวัดผลที่ชัดเจน แถมยังเป็นสื่อที่มีต้นทุนถูกและสามารถโฟกัสกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน
ส่วนเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมนั้นเป็นอีกสื่อหนึ่งที่มีศักยภาพในการเติบโต รวมถึงการโฆษณาแบบแบนเนอร์ก็เช่นเดียวกัน

ตัวอย่างการโฆษณาแบบแบนเนอร์
ต้องอาศัยความสวยงามของภาพกราฟฟิก ภาพประกอบ พื้นหลังที่สวยงาม ใช้สีสันที่ดึงดูดใจ